ภาวะหนุ่มสาวก่อนวัย (Precocious Puberty)

หัวข้อ : ภาวะหนุ่มสาวก่อนวัย ( Precocious Puberty )

ภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย

ด้วยสภาวะการณ์ปัจจุบัน พบภาวะเป็นหน่มสาวก่อนวัยในเด็กจำนวนมากขึ้น วันนี้พี่เนิร์สจึงเอาความรู้เรื่องการเป็นสาวก่อนวัยมาฝาก เพื่อจะได้นำความรู้ไปแนะนำผู้ป่วยได้

การเปลี่ยนจากวัยเด็กไปสู่หนุ่มสาวนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่หากเกิดความเปลี่ยนแปลงทางสรีระก่อนวัยอันควร อาจส่งผลกระทบทำให้ตัวเตี้ยเมื่อเป็นผู้ใหญ่ และส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็กได้ พ่อแม่และคนใกล้ตัวจึงควรใส่ใจรอบด้าน เพื่อให้สามารถดูแลและแก้ไขปัญหาได้โดยเร็ว ทำให้เด็กเติบโตสมวัย มีพัฒนาการและศักยภาพการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข 

ภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยหรือสภาวะที่เด็กโตเร็วกว่าปกติ (Precocious Puberty) พบได้ในเด็กทั้งเพศหญิงและชาย โดยจะพบในเด็กหญิงมากกว่าเด็กชายประมาณ 8 – 20 เท่า พ่อแม่ผู้ปกครองจำเป็นที่จะต้องหมั่นสังเกต เพราะมักมีความผิดปกติแอบแฝงอยู่

สาเหตุและปัจจัย

 

    1. กรรมพันธุ์  ถ้าพ่อแม่มีประวัติเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเร็ว เช่น พ่อเสียงแตกเร็ว หรือแม่มีประจำเดือนเร็ว ลูกก็อาจจะเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วได้

    1. สิ่งแวดล้อม

 

    • ภาวะโภชนาการ หากเด็กร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ เช่น เด็กอ้วน ซึ่งปัจจุบันพบมากขึ้นจากการที่กินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น ชอบทานของกรอบ ทอด มัน อาหารไขมันสูง อาหารจานด่วน ก็มักจะเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเร็วกว่าปกติ

    • การได้รับสารหรืออาหารที่มีฮอร์โมนปนเปื้อน โดยเฉพาะเอสโตรเจนสังเคราะห์หรือสารที่ออกฤทธิ์เสมือนเอสโตรเจน

พยาธิสภาพ

 

    • พยาธิสภาพในสมอง เช่น ก้อนเนื้องอก สมองเคยขาดออกซิเจน หรือเคยติดเชื้อมาก่อน หรือเคยได้รับการฉายรังสีก็จะไปกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองสร้างฮอร์โมนเพศมาได้

    • พยาธิสภาพในต่อมเพศ เช่น ถุงน้ำในรังไข่ในเด็กหญิงก็จะทำให้มีการสร้างฮอร์โมนเพศมากขึ้น

สัญญาณเตือน

ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่บ่งบอกว่ากำลังเข้าสู่การเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย ได้แก่

เด็กผู้ชาย

 

    • ลูกอัณฑะและองคชาติขยายตัว

    • เริ่มมีขนบริเวณอวัยวะเพศและรักแร้

    • สิว หน้ามัน กลิ่นตัว และเสียงแตก

    • ส่วนสูงเพิ่มขึ้น

เด็กผู้หญิง

 

    • เต้านมเจริญขึ้น

    • เริ่มมีขนบริเวณอวัยวะเพศและรักแร้

    • สิว หน้ามัน กลิ่นตัว

    • สะโพกผาย

    • มีตกขาวและประจำเดือน

    • ส่วนสูงเพิ่มรวดเร็ว

ผลกระทบของภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย

ก่อให้เกิดปัญหาทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังต่อไปนี้    

ด้านร่างกาย

การที่เด็กมีฮอร์โมนเพศในปริมาณสูงกว่าปกติ จะทำให้เด็กโตเร็วกว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน ฮอร์โมนเพศจะทำให้กระดูกโตเร็วและปิดเร็ว และหยุดการเจริญเติบโต สิ่งที่ตามมาคือ ระยะเวลาการเจริญเติบโตในวัยเด็กจะสั้นลงกว่าเด็กปกติ ทำให้เตี้ยเมื่อเป็นผู้ใหญ่

ด้านจิตใจ

ในเด็กหญิง เด็กกลุ่มนี้จะมีสรีระร่างกายภายนอกเป็นสาววัยรุ่น ในขณะที่จิตใจยังเป็นเด็ก ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างวุฒิภาวะทางร่างกายและจิตใจ อาจนำไปสู่การล่อลวงได้ง่าย นอกจากนี้ เด็กอาจจะรู้สึกว่าตัวเองมีรูปร่างแตกต่างไปจากเพื่อน ๆ วัยเดียวกัน อาจจะทำให้โดนล้อเลียนและมีพฤติกรรมแยกตัว ในบางรายอาจมีปัญหาในเรื่องของการดูแลประจำเดือน ทำให้เด็กกลุ่มนี้ไม่อยากไปโรงเรียนตามมา

ในเด็กชาย เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายสูงกว่าปกติ นำไปสู่การมีพฤติกรรมก้าวร้าว อารมณ์รุนแรง และมีอารมณ์ทางเพศ

การตรวจวินิจฉัย

วิธีตรวจวินิจฉัยว่าเด็กเป็นหนุ่มสาวก่อนวัยหรือไม่ เมื่อสงสัยว่าเด็กเป็นหนุ่มสาวก่อนวัยให้รีบเข้ารับการตรวจร่างกายกับกุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อในทันที นอกจากตรวจร่างกายและประเมินการเจริญเติบโตแล้ว แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยตามขั้นตอนดังนี้

1.ตรวจอายุกระดูก โดยทำการเอกซเรย์ที่กระดูกข้อมือซ้าย เพื่อประเมินว่ามีอายุกระดูกล้ำหน้ากว่าอายุจริงหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับความสูงสุดท้ายเมื่อเป็นผู้ใหญ่

2.ตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมน โดยทำการทดสอบฮอร์โมน GnRH Stimulation Test เพื่อวัดระดับฮอร์โมนเพศในร่างกาย

3.อัลตราซาวด์บริเวณช่องท้องและอุ้งเชิงกราน มีประโยชน์ในการหาเนื้องอกหรือถุงน้ำในรังไข่ฃ

การรักษา 

 

    • ถ้ามีสาเหตุ รักษาตามสาเหตุ  

    • ถ้าไม่มีสาเหตุ แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาโดยใช้ยายับยั้งการหลั่งฮอร์โมนเพศเป็นยาชนิดฉีด ฉีดทุกเดือน เพื่อยับยั้งการเข้าสู่วัยรุ่น ชะลอความล้ำหน้าของอายุกระดูก เพื่อให้มีการเจริญเติบโตตามวัย

วิธีลดความเสี่ยงการเกิดภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย 

ผู้ปกครองควรเลี้ยงดูให้เด็กมีการเจริญเติบโตอยู่ในเกณฑ์ตามวัย รับประทานอาหารหลากหลายที่มีโภชนาการครบถ้วน หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน หรือของมัน ของทอด ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลวิจัยแน่ชัดว่าการรับประทานไก่จะมีผลทำให้เด็กเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย และนอกจากการควบคุมเรื่องอาหารแล้ว ควรให้เด็กออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนพักผ่อนให้เพียงพอด้วย

ขอบคุณที่มา : รพ.พญาไท ,รพ.กรุงเทพฯ