หลักการ Triage
หลักการ Triage
การ Triage หมายถึงกระบวนการคัดแยกและจัดลำดับความสำคัญของผู้ป่วยเพื่อให้ได้รับการดูแลตามความเร่งด่วนและความจำเป็นของอาการ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีทรัพยากรจำกัด เช่น ห้องฉุกเฉิน อุบัติเหตุหมู่ หรือภัยพิบัติ
วัตถุประสงค์ของการ Triage
1.ช่วยชีวิต: ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยที่มีอาการวิกฤตหรือมีโอกาสรอดสูงที่สุดก่อน
2.จัดลำดับความสำคัญ:แยกผู้ป่วยตามระดับความเร่งด่วน เพื่อให้ทรัพยากรการรักษาถูกใช้อย่างเหมาะสม
3.ลดความแออัด:ทำให้การจัดการผู้ป่วยในสถานการณ์ที่มีคนจำนวนมากเป็นไปอย่างมีระบบ
4.เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ:ทำให้ทีมแพทย์และพยาบาลสามารถจัดการผู้ป่วยได้ทันเวลาและมีประสิทธิภาพ
6R ของการ Triage เป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้การคัดแยกผู้ป่วยมีประสิทธิภาพและครบถ้วน โดย 6R ประกอบด้วย:
1. Right Patient ผู้ป่วยที่เหมาะสม
ตรวจสอบและระบุว่าผู้ป่วยรายใดจำเป็นต้องได้รับการประเมินก่อน
เน้นผู้ป่วยที่มีอาการฉุกเฉินหรือมีโอกาสรอดสูงแต่ต้องการการช่วยเหลือทันที
2. Right Place สถานที่ที่เหมาะสม
– ส่งผู้ป่วยไปยังแผนกหรือสถานที่ที่เหมาะสม เช่น ห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด หรือหน่วยเฝ้าระวัง
– การจัดการทรัพยากรในสถานการณ์หมู่ เช่น จุดคัดกรอง, จุดดูแลผู้ป่วยหนัก
3. Right Time เวลาที่เหมาะสม
– ตัดสินใจรวดเร็วและให้การช่วยเหลือในเวลาที่เหมาะสม
– ผู้ป่วยวิกฤตต้องได้รับการช่วยเหลือทันที เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิต
4. Right Treatment การรักษาที่เหมาะสม
– มอบการรักษาที่ตรงกับความต้องการของผู้ป่วย เช่น เปิดทางเดินหายใจ ห้ามเลือด หรือการให้สารน้ำ
– การให้การรักษาเบื้องต้นในจุด Triage เพื่อเพิ่มความพร้อมก่อนส่งต่อ
5. Right Decision การตัดสินใจที่เหมาะสม
– ใช้ข้อมูลที่ได้จากการประเมิน เช่น ABCDE, ระดับความรู้สึกตัว, หรือภาวะอื่นๆ ในการจัดลำดับความสำคัญ
– ตัดสินใจตามหลักการช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้มากที่สุดในสถานการณ์จำกัด
6. Right Communication การสื่อสารที่เหมาะสม
– ส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วย เช่น ระดับความเร่งด่วน (สี) และข้อมูลที่จำเป็นให้ทีมงานทราบอย่างชัดเจน
– ใช้เครื่องมือ เช่น บัตรสี, การเขียนข้อมูล หรือการรายงานแบบรวดเร็ว
แนวทางการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินในวงการพยาบาลและสาธารณสุข ซึ่งอิงตามมาตรฐาน Triage ที่ใช้งานจริงในสถานพยาบาลทั่วโลก เช่น:
1.หลักการ ABCDE
เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ประเมินผู้ป่วยในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งมาจากแนวทางของ Advanced Trauma Life Support (ATLS) และ Basic Life Support (BLS) ที่ได้รับการรับรองโดยหน่วยงานสุขภาพระดับโลก เช่น American Heart Association (AHA) และ World Health Organization (WHO)
2.การใช้ระบบสี (Triage Color Codes)
พัฒนาโดย World Health Organization (WHO) และ International Committee of the Red Cross (ICRC) สำหรับการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น อุบัติเหตุหมู่หรือภัยพิบัติ
3.แนวทางปฏิบัติในห้องฉุกเฉิน (Emergency Room Triage)
อิงจากคู่มือ Triage แบบ Emergency Severity Index (ESI) ที่นิยมใช้ในโรงพยาบาลหลายแห่ง รวมถึงงานวิจัยในวงการพยาบาล เช่น Australian Triage Scale (ATS)
หลักการพื้นฐานของ Triage
1.ประเมินความเร่งด่วน
ดูว่าผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาทันทีหรือสามารถรอได้โดยไม่มีผลกระทบต่อชีวิตหรือสุขภาพอย่างรุนแรง
2.ใช้ระบบการจัดลำดับ
Triage มักใช้ระบบสีเพื่อสื่อถึงระดับความเร่งด่วน:
สีแดง: ฉุกเฉินที่สุด ต้องรักษาทันที (ชีวิตหรืออวัยวะอยู่ในอันตราย)
สีเหลือง: เร่งด่วน แต่ยังสามารถรอได้สักพัก
สีเขียว: ไม่เร่งด่วน สามารถรอได้โดยไม่มีอันตราย
สีดำ: ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ หรือผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว
ขั้นตอนการ Triage
1.ตรวจสอบสถานการณ์
ดูภาพรวมของสถานการณ์ เช่น อุบัติเหตุหมู่, ภัยพิบัติ, หรือห้องฉุกเฉิน
2.ประเมินผู้ป่วยทีละราย
ใช้หลัก ABCDE เพื่อการประเมินเบื้องต้น:
A (Airway): ตรวจทางเดินหายใจโล่งหรือไม่
B (Breathing): ผู้ป่วยหายใจหรือไม่ หายใจลำบากหรือเปล่า
C (Circulation): วัดชีพจร เลือดออกหรือไม่
D (Disability): ประเมินการรับรู้ (ใช้ AVPU: Alert, Verbal, Pain, Unresponsive)
E (Exposure): ตรวจสอบบาดแผลหรือภาวะอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตราย
3.จัดกลุ่มตามสี
ถ้าผู้ป่วยไม่หายใจ → สีดำ (ยกเว้นมีโอกาสช่วยชีวิตได้)
ผู้ป่วยหายใจแต่อัตราการหายใจผิดปกติหรือชีพจรไม่ดี → สีแดง
ผู้ป่วยมีความผิดปกติที่ต้องรักษาแต่ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ → สีเหลือง
ผู้ป่วยสามารถเดินได้เองหรืออาการไม่รุนแรง → สีเขียว
4.สื่อสารและส่งต่อ
แจ้งทีมดูแลต่อเนื่องเกี่ยวกับระดับความเร่งด่วนและข้อมูลสำคัญที่ประเมินได้
Emergency Severity Index (ESI) เป็นระบบคัดแยกผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินที่ใช้งานอย่างแพร่หลายในโรงพยาบาลทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย โดยจัดลำดับความสำคัญของผู้ป่วยตาม ความเร่งด่วน และ ทรัพยากรทางการแพทย์ที่จำเป็น
หลักการของ ESI
ESI ใช้การแบ่งระดับ (Triage Levels) ออกเป็น 5 ระดับ โดยประเมินจาก 2 ปัจจัยหลัก:
1.ความเร่งด่วนของภาวะฉุกเฉิน (Urgency):
ประเมินว่าผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลทันทีหรือสามารถรอได้
2.ทรัพยากรที่ต้องใช้ (Resources):
ระบุว่าผู้ป่วยต้องใช้ทรัพยากรการแพทย์ เช่น ห้องตรวจพิเศษ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือการผ่าตัด
ขั้นตอนการประเมิน ESI
1.ประเมินว่าผู้ป่วยเป็น “วิกฤต” หรือไม่ (Level 1):
ผู้ป่วยที่ต้องการการช่วยชีวิตทันที เช่น หยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้น
ESI Level 1: ต้องรักษาในทันที ไม่สามารถรอได้
2.ประเมินว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงหรือไม่ (Level 2):
อาการที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตหรือทุพพลภาพอย่างรวดเร็ว เช่น เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน, หายใจลำบาก
ESI Level 2: ต้องพบแพทย์ภายในไม่เกิน 10 นาที
3.ประเมินทรัพยากรที่ต้องใช้ (Levels 3-5):
ระบุว่าผู้ป่วยต้องใช้การตรวจวินิจฉัยหรือทรัพยากรเพิ่มเติมหรือไม่:
Level 3: ต้องใช้ทรัพยากรหลายอย่าง เช่น การตรวจเลือด, CT Scan, หรือแพทย์เฉพาะทาง
Level 4: ต้องใช้ทรัพยากรน้อย เช่น การตรวจแผล
Level 5: ไม่ต้องใช้ทรัพยากร เช่น ให้คำปรึกษาหรือจ่ายยา
ระดับของ ESI และตัวอย่างผู้ป่วย
ระดับ ESI | คำอธิบาย | ตัวอย่างผู้ป่วย |
ESI Level 1 | ภาวะวิกฤต ต้องช่วยชีวิตทันที | หัวใจหยุดเต้น, หยุดหายใจ, ช็อก |
ESI Level 2 | เร่งด่วนสูง เสี่ยงเสียชีวิต | เจ็บหน้าอก, หายใจลำบาก, เลือดออกมาก |
ESI Level 3 | ต้องใช้ทรัพยากรหลายอย่าง | ปวดท้องรุนแรง, ไข้สูงมากในเด็กเล็ก |
ESI Level 4 | ใช้ทรัพยากรน้อย | แผลขนาดเล็ก, ปวดหู |
ESI Level 5 | ไม่ต้องใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ | ขอใบสั่งยา, การตรวจติดตามผล |
ข้อดีของ ESI
1.ประหยัดเวลา: การแบ่งระดับที่ชัดเจนช่วยให้การตัดสินใจรวดเร็วและลดความแออัดในห้องฉุกเฉิน
2.ใช้งานง่าย:ระบบมีขั้นตอนและเกณฑ์ที่ชัดเจน ทำให้บุคลากรสามารถใช้งานได้โดยง่าย
3.เพิ่มประสิทธิภาพการจัดทรัพยากร:ทำให้สามารถบริหารทรัพยากรทางการแพทย์ได้อย่างเหมาะสม
ข้อควรระวังในการใช้ ESI
1.ต้องมีการฝึกอบรมบุคลากรให้เข้าใจระบบอย่างถูกต้อง
2.การประเมินทรัพยากรที่จำเป็นต้องอิงตามความเหมาะสมของบริบทในแต่ละโรงพยาบาล
ข้อมูลเกี่ยวกับ Emergency Severity Index (ESI) และการ Triage มาจากแหล่งข้อมูลที่เป็นมาตรฐานสากลและการประยุกต์ใช้ในประเทศไทย ซึ่งสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก:
แหล่งข้อมูลสากล
1.Emergency Nurses Association (ENA):
ENA เป็นองค์กรที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับ Triage และ ESI โดยเฉพาะสำหรับพยาบาลในห้องฉุกเฉินเว็บไซต์: www.ena.org
2.Agency for Healthcare Research and Quality (AHRQ):
AHRQ เป็นหน่วยงานที่พัฒนาและเผยแพร่แนวทาง ESI ในสหรัฐอเมริกา เว็บไซต์: www.ahrq.gov
3.คู่มือ Emergency Severity Index (ESI) Implementation Handbook:
คู่มือฉบับนี้เป็นเอกสารสำคัญสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องการเรียนรู้และใช้งาน ESI อย่างถูกต้อง
ดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ AHRQ
แหล่งข้อมูลในประเทศไทย
1.กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (Department of Medical Services):
แนวทางการ Triage และการจัดการผู้ป่วยในภาวะฉุกเฉิน เว็บไซต์: www.dms.go.th
2.สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (National Institute for Emergency Medicine – NIEM):
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบ Triage และการจัดการผู้ป่วยในภาวะฉุกเฉิน เว็บไซต์: www.niems.go.th
3.คู่มือการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินในประเทศไทย:
คู่มือที่จัดทำโดยโรงพยาบาลชั้นนำ เช่น รามาธิบดี หรือศิริราช ซึ่งมีการอ้างอิง ESI และการคัดแยกผู้ป่วยในสถานการณ์จริง